วิกฤตการอ่านท้องถิ่นสหรัฐฯ: รัฐต่างๆ หันมาใช้วิธีสอนแบบถอดรหัสเสียง แม้จะเจอการต่อต้าน
ที่มาภาพ: Eliott Reyna/Unsplash
ภาพรวมวิกฤตการอ่านในท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน ชุมชนท้องถิ่นทั่วสหรัฐอเมริกากำลังเผชิญวิกฤตการอ่านที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ผลการทดสอบระดับชาติปี 2024 เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโรงเรียนท้องถิ่นถึง 40 เปอร์เซ็นต์อ่านไม่ถึงระดับพื้นฐาน ขณะที่เด็กมัธยมศึกษาปีที่ 2 อีก 33 เปอร์เซ็นต์ก็ประสบปัญหาเดียวกัน นับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ไม่มีรัฐหรือท้องถิ่นใดเลยในประเทศที่คะแนนการอ่านมีพัฒนาการดีขึ้นในปี 2024 ซ้ำร้ายชุมชนท้องถิ่นในหลายรัฐกลับมีผลลัพธ์ที่แย่ลงกว่าเดิมอีกด้วย
การเปลี่ยนวิธีสอนอ่าน: จากการเดาคำสู่การถอดรหัสเสียง
แนวคิดหลักในการแก้ปัญหาวิกฤตการอ่านนี้คือการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนอ่านอย่างถอนรากถอนโคน จากระบบเดิมที่เรียกว่า "three-cueing" หรือการเดาคำจากบริบทแวดล้อม มาเป็นระบบ "วิทยาศาสตร์การอ่าน" ที่เน้น "วิธีโฟนิกส์" (Phonics)
วิธีโฟนิกส์คือการสอนให้เด็กเชื่อมโยงระหว่างตัวอักษรกับเสียงของตัวอักษรนั้นๆ และสอนวิธีผสมเสียงเข้าด้วยกันเพื่ออ่านเป็นคำ เปรียบเสมือนการสอนให้เด็กเข้าใจ "รหัสเสียง" ของภาษา เช่น สอนว่าตัว 'c' ออกเสียง 'ค' ตัว 'a' ออกเสียง 'แอ' และตัว 't' ออกเสียง 'ท' เมื่อนำมาผสมกันจะออกเสียงเป็น 'แค็ท' (cat)
วิธีสอนแบบเดิมที่ใช้กันมาหลายทศวรรษนั้นจะสอนให้เด็กเดาคำที่ไม่รู้จากบริบทโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นความหมายของประโยค โครงสร้างไวยากรณ์ หรือภาพประกอบต่างๆ ในขณะที่วิธีสอนแบบใหม่กลับเน้นไปที่การสอนหลักการถอดรหัสเสียงอย่างเป็นระบบ ทำให้เด็กสามารถอ่านคำใหม่ๆ ได้ด้วยตนเอง แม้ไม่เคยเห็นคำนั้นมาก่อน วิธีการนี้อิงอยู่บนงานวิจัยทางด้านพุทธิปัญญาเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดของเด็ก
มาตรการของท้องถิ่นต่างๆ ทั่วสหรัฐที่กำลังเกิดขึ้น
ด้วยความรุนแรงของวิกฤตการอ่านที่กำลังเกิดขึ้น เขตการศึกษาท้องถิ่นและรัฐต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐกำลังเร่งผลักดันกฎหมายเพื่อปฏิรูปการสอนอ่านอย่างเป็นรูปธรรม ชุมชนท้องถิ่นในรัฐนิวเจอร์ซีย์เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้วยการบังคับให้โรงเรียนในทุกเขตการศึกษามีการตรวจคัดกรองการอ่านสำหรับเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ขณะที่เขตการศึกษาท้องถิ่นในรัฐอินเดียนาได้ผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาตให้เด็กในชุมชนสามารถสอบซ่อมการอ่านได้ก่อนที่จะถูกบังคับให้เรียนซ้ำชั้นในระดับประถมศึกษาปีที่ 3
ชุมชนท้องถิ่นในรัฐออริกอนและวอชิงตันกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบโค้ชและการฝึกอบรมด้านการอ่านที่จะครอบคลุมทุกโรงเรียนในเขตการศึกษา เช่นเดียวกับท้องถิ่นในรัฐมอนทานาที่กำลังขยายขอบเขตการช่วยเหลือด้านการอ่านให้ครอบคลุมทักษะที่กว้างขึ้นสำหรับเด็กในชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่พื้นฐานการอ่านในระยะแรกเท่านั้น
เขตการศึกษาท้องถิ่นในรัฐมิสซิสซิปปีซึ่งถือเป็นต้นแบบความสำเร็จในการพลิกฟื้นอัตราการรู้หนังสือของเด็กในชุมชนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กำลังขยายโครงการที่ประสบความสำเร็จและห้ามใช้วิธี three-cueing ในการสอนอ่านตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-8 อย่างชัดเจน ส่วนท้องถิ่นในรัฐจอร์เจียสามารถผ่านกฎหมายห้ามใช้วิธี three-cueing ในโรงเรียนทุกแห่งด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์จากสภาท้องถิ่น และชุมชนในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียก็กำลังเสนอให้ครูในโรงเรียนท้องถิ่นทุกคนต้องได้รับการรับรองด้านวิทยาศาสตร์การอ่านก่อนที่จะสามารถสอนในโรงเรียนของรัฐได้
เสียงจากผู้มีประสบการณ์ในชุมชนท้องถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ตรงกับปัญหาการอ่านในชุมชนท้องถิ่นได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่น วุฒิสมาชิกราฌอน เคมพ์ จากรัฐจอร์เจีย ซึ่งเคยทำงานเป็นทั้งครูและผู้อำนวยการโรงเรียนในชุมชนท้องถิ่นมาก่อน ได้เล่าถึงประสบการณ์ของตนว่า "จากประสบการณ์ทำงานในโรงเรียนชุมชนของผม ผมเห็นเด็กๆ ในท้องถิ่นพยายามระบุคำที่พวกเขากำลังอ่านอย่างยากลำบาก ผมเห็นว่าเด็กในชุมชนหลายคนเดาคำแทนที่จะถอดรหัส และปัญหาไม่ใช่เทคโนโลยีหรือหน้าจอ แต่เป็นวิธีที่ครูในโรงเรียนท้องถิ่นได้รับคำแนะนำในการสอนอ่าน เป็นระบบการศึกษาท้องถิ่นที่ต้องได้รับการแก้ไข ไม่ใช่ตัวครู"
ทาฟเชียร์ คอสบี้ ผู้อำนวยการอาวุโสของศูนย์การจัดการและพันธมิตรที่สหภาพผู้ปกครองแห่งชาติ ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับโรงเรียนท้องถิ่นทั่วประเทศ ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการรู้หนังสือในระดับชุมชนว่า "การรู้หนังสือคือคานงัดสำคัญสำหรับการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น หากเขตการศึกษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ มุ่งเน้นไปที่สิ่งนั้น เราจะเห็นความสำเร็จที่ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมืองในระดับท้องถิ่น แต่ความท้าทายคือการทำให้สิ่งนี้เป็นลำดับความสำคัญสำหรับทุกชุมชน ไม่ใช่แค่ความหวังที่แตกต่างกันไปในแต่ละเขตการศึกษาท้องถิ่น"
นอกจากนี้ เมลี สมิธ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านนโยบายจากสถาบันนโยบายอิลลินอยส์ ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาในชุมชนท้องถิ่น ยังได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของปัญหาด้วยคำเตือนที่ว่า "หากนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่นไม่สามารถอ่านได้ภายในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พวกเขาจะไม่เข้าใจครึ่งหนึ่งของหลักสูตรท้องถิ่นในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ความเป็นไปได้ที่นักเรียนในชุมชนจะสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายสามารถทำนายได้จากทักษะการอ่านของพวกเขาเมื่อสิ้นสุดชั้นประถมศึกษาปีที่ 3"
การคัดค้านจากท้องถิ่นในหลายรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนอ่านนี้ก็ไม่ได้ราบรื่นในทุกชุมชนท้องถิ่น ในท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนีย กฎหมายที่จะกำหนดให้มีการสอนอ่านโดยใช้โฟนิกส์ทั่วทุกเขตการศึกษาได้เผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มผู้สนับสนุนเด็กที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในชุมชนท้องถิ่น พวกเขาแสดงความกังวลว่าการใช้วิธีการเดียวกันทั้งหมดอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของนักเรียนหลากวัฒนธรรมในชุมชนที่ใช้หลายภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในเขตการศึกษาท้องถิ่นของรัฐวิสคอนซิน เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างคณะกรรมการการศึกษาท้องถิ่นกับผู้บริหารการศึกษาระดับรัฐ จนทำให้งบประมาณถึง 50 ล้านดอลลาร์ที่ตั้งไว้สำหรับโครงการรู้หนังสือในชุมชนท้องถิ่นถูกระงับไว้ ส่วนเขตการศึกษาท้องถิ่นในรัฐอินเดียนา สภาท้องถิ่นได้เผชิญกับการคัดค้านจากสมาคมครูท้องถิ่นเกี่ยวกับข้อบังคับปี 2024 ที่กำหนดให้ครูในโรงเรียนชุมชนต้องผ่านการฝึกอบรมด้านการรู้หนังสือถึง 80 ชั่วโมงก่อนที่จะสามารถต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้ ครูในชุมชนท้องถิ่นจำนวนมากรู้สึกว่านี่เป็นภาระที่มากเกินไปและไม่ได้คำนึงถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพที่พวกเขามีอยู่แล้ว
สมาคมครูแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นตัวแทนของครูในชุมชนท้องถิ่นทั่วรัฐได้แสดงจุดยืนในการคัดค้านร่างกฎหมายนี้โดยระบุว่า "การกำหนดนิยามสำหรับ 'วิทยาศาสตร์การอ่าน' ในกฎระเบียบของท้องถิ่นเป็นปัญหา เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยธรรมชาติแล้วมีการทดสอบ ตรวจสอบความถูกต้อง หักล้าง แก้ไข และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา" พวกเขากังวลว่าการกำหนดวิธีการสอนตายตัวอาจจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการและนวัตกรรมใหม่ๆ ในวงการการศึกษาท้องถิ่นักล้าง แก้ไข และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา" พวกเขากังวลว่าการกำหนดวิธีการสอนตายตัวอาจจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการและนวัตกรรมใหม่ๆ ในวงการการศึกษา
แนวทางการแก้ปัญหาในชุมชนท้องถิ่น
ท่ามกลางการถกเถียงที่เกิดขึ้นในชุมชนการศึกษาท้องถิ่นทั่วประเทศ มีการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่อาจเป็นจุดร่วมให้ทุกฝ่ายในท้องถิ่นสามารถเห็นพ้องต้องกันได้ นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในชุมชนหลายท่านได้เสนอให้มีการคัดกรองปัญหาการอ่านตั้งแต่เนิ่นๆ ในโรงเรียนท้องถิ่น เพื่อค้นพบเด็กในชุมชนที่มีความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ตามด้วยการเข้าช่วยเหลือด้วยโปรแกรมพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็กในชุมชนท้องถิ่นที่มีปัญหาการอ่าน พร้อมกับการแจ้งให้ผู้ปกครองในชุมชนทราบและมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใส
การสอนตามหลักวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารการศึกษาท้องถิ่น รวมถึงการพิจารณาการเลื่อนชั้นอย่างรอบคอบในระดับโรงเรียนชุมชน โดยไม่ปล่อยให้เด็กในท้องถิ่นที่อ่านไม่ออกเลื่อนชั้นไปโดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น เพราะจะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามและส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ในระยะยาวของพวกเขา
เมลี สมิธ จากสถาบันนโยบายอิลลินอยส์ ซึ่งได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการรู้หนังสือในชุมชนท้องถิ่นมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ ได้กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาในชุมชนท้องถิ่นว่า "แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่แม้เพียงก้าวเล็กๆ ก็สามารถสร้างความแตกต่างที่แท้จริงได้ การคัดกรอง การเข้าช่วยเหลือ การแจ้งผู้ปกครองในชุมชน การสอนตามหลักวิทยาศาสตร์ และการพิจารณาการเลื่อนชั้นอย่างรอบคอบ เหล่านี้คือห้าเสาหลักสำคัญ และแต่ละชุมชนท้องถิ่น แต่ละเขตการศึกษา สามารถเริ่มทำบางขั้นตอนได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้มีนโยบายระดับรัฐหรือระดับชาติ การแก้ปัญหาการอ่านในท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่น่ากลัวหรือซับซ้อนเกินไป หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน"
ในรัฐอิลลินอยส์เอง ปัญหาการอ่านได้สะสมมานานกว่าทศวรรษ โดยปัจจุบันมีเพียง 3 ใน 10 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 4 ในท้องถิ่นที่สามารถอ่านได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของชั้นเรียน แม้ว่ารัฐจะได้แก้ไขประมวลกฎหมายโรงเรียนในปี 2023 เพื่อสร้างแผนการรู้หนังสือของรัฐ แต่สมิธชี้ให้เห็นว่าแผนดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางและไม่ได้บังคับให้เขตการศึกษาท้องถิ่นต้องนำการสอนอ่านที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์มาใช้ เธอจึงกระตุ้นให้คณะกรรมการโรงเรียนท้องถิ่นแต่ละแห่งดำเนินการด้วยตนเองโดยไม่ต้องรอนโยบายจากส่วนกลาง
ไม่ว่าแนวทางใดจะได้รับการยอมรับในที่สุด สิ่งที่ชัดเจนคือชุมชนท้องถิ่นทั่วอเมริกากำลังตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขวิกฤตการอ่านนี้ และกำลังมองการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้างแทนที่จะเป็นเพียงโครงการเฉพาะกิจหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การรู้หนังสือกำลังถูกยกระดับให้เป็นประเด็นสำคัญในนโยบายการศึกษาของท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้และความสำเร็จในทุกด้านของเด็กๆ ในชุมชนต่อไป